Campaign Budget Optimization หรือ CBO คืออะไร? ลงโฆษณา Facebook ต้องรู้
หลายคนคงได้ยินข่าวมาว่าในช่วงเดือนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2020 Facebook จะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการกำหนดงบประมาณ (Budget) บน Ads Manager จากปัจจุบันที่สามารถกำหนดได้ในหน้าแคมเปญ (Campaign) หรือในชุดโฆษณา (Ads Set) จะมาเป็นการกำหนดงบประมาณผ่านหน้าแคมเปญในส่วนของ Campaign Budget Optimization หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CBO เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทางลัดในการอ่านหัวข้อที่น่าสนใจ
– Campaign Budget Optimization คืออะไร
– วิธีการใช้ Campaign Budget Optimization
– การตั้งค่า Campaign Budget Optimization
– วิธีการรับมือจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
Campaign Budget Optimization หรือ CBO คืออะไร
ถ้าให้อธิบายเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย จากเดิมที่เราจะต้องมานั่งกำหนดงบประมาณให้แต่ละ Ads Set ว่าแต่ควรลงเงินเท่าไหร แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็น Campaign Budget Optimization เราจะต้องกำหนดงบประมาณตั้งแต่หน้า “Campaign” เลยนั่นเอง โดย Facebook จะมีหน้าที่ช่วยเหลือในการจัดสรรงบประมาณที่เราลงไว้ในแคมเปญ กระจายออกไปให้กับชุดโฆษณาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และคุ้มค่ามากที่สุด

การเปลี่ยนแปลงนี้ Facebook จะเข้ามาช่วยในการจัดสรรเงินให้คุ้มค่าที่สุดก็จริง แต่ในบางครั้งตัวเราอาจจะไม่ได้อยากจะลงเงินกับชุดโฆษณานี้มากเกินไป Facebook ก็ไม่ได้ใจร้ายบังคับ เพราะในหน้า Ads Set เราสามารถตั้งค่ากำหนดวงเงินใช้จ่ายของชุดโฆษณา หรือ Ad Set Spend Limits ได้ ตัวอย่างเช่น ใน Ads Set: A เราอยากจะลงเงินแค่ 1,000 บาท เราสามารถเข้าไปกำหนดขั้นต่ำ (Minimum) และใช้ไม่เกิน (Maximum) ได้
จะใช้ Campaign Budget Optimization ได้ยังไง?
ไปที่ Ads Manager > กด Create > เลือก Objective ที่เราต้องการ > เลือก Campaign Budget Optimization ให้เป็น ON

เครื่องมือ CBO ที่ต้องตั้งค่ามีอะไรบ้าง?

- Campaign Budget คือ งบประมาณที่ระบุไว้สำหรับใช้ในแคมเปญนั้นๆ มีให้เลือกแบบ Daily Budget และแบบ Lifttime Budget
- Campaign Bid Strategy เลือกได้ว่าจะใช้แคมเปญแบบ Lowest Cost หรือ Lowest Cost with bid cap. (ข้อควรระวัง: การเลือกแบบที่มี bid cap ทำให้ในแต่ละ Ads Set ต้องตั้งราคาประมูลด้วย เหมาะสำหรับ Ojective ประเภท Page Like, App Install หรือ Conversion)

- Ad Scheduling ตั้งค่าว่าจะให้แคมเปญนี้รันตลอดเวลา หรือรันเฉพาะช่วงเวลาที่กำหนด
- Delivery Type ตั้งค่าการนำส่งโฆษณาได้ทั้งแบบ Standard หรือ Accerlerate
สังเกตว่าค่าต่าง ๆ จะคล้ายบนหน้า Ads Set ใช่ไหมละ แต่ขอย้ำว่าค่าเหล่านี้ในหน้า Campaign Budget Optimization เมื่อตั้งแล้ว จะถูกตั้งเป็น defalutในแต่ชุดโฆษณา (Ads Set) อีกด้วย เพราะฉะนั้นต้องคิดให้ดีก่อนตั้งค่า และการใช้งาน Campaign Budget Optimization จะไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ Split Test ได้
แล้วเราจะรับมือจากการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรดี?
สำหรับนักการตลาดดิจิทัล หรือคนที่ขายของออนไลน์ อย่างแรกที่สำคัญเลย คือ การเรียนรู้จากเครื่องมือที่เปลี่ยนแปลง และเข้าใจระบบของมันมากขึ้น ซึ่งสำหรับเรานะ มองว่ามันเป็นผลดีกว่าผลเสีย ยกตัวอย่างเช่น
สามารถกำหนดเงินจากแคมเปญได้ทันที เพราะในบางครั้งการที่เราทำชุดโฆษณาในจำนวนมาก ก็อาจจะทำให้สับสนในการตั้งค่างบประมาณจนทำให้ใช้เกินได้ หรือกรณีงบประมาณของเรามีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงเราก็สามารถปรับปรุงในส่วนของ CBO Facebook ได้ตลอดเวลา
การที่ให้ Facebook ทำหน้าที่ช่วยกระจายเงินออกไปในแต่ละ Ads Set อาจจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าการตั้งค่าเอง เพราะบางครั้งในการทำ Ads Set จำนวนมาก และเลือกกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน อาจจะเกิด Audience Overlap หรือการทับซ้อนในกลุ่มเป้าหมาย จนทำให้ผลลัพธ์ของโฆษณาไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ต้องการ เพราะคนเห็นโฆษณาเรามากจนเกินไป ตัว Campaign Budget Optimization ก็อาจจะมาแก้ปัญหาได้ เพราะระบบเล็งเห็นแล้วว่าชุดโฆษณา และโฆษณาตัวไหนน่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่กรณีที่เราเห็นว่าโฆษณาตัวนี้ใช้เงินเยอะเกินไป เราสามารถตั้ง Ad Set Spend Limit ในหน้า Ads Set ได้ทันทีเช่นกัน
ทุกเครื่องมือมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ขอแค่เรียนรู้ไปกับมัน และขอให้มีความสุขกับการใช้งานนะคะ
_______________________________
ติดตาม DigitalArea เพิ่มกันได้ที่ Facebook Offcial Page
หรือ email คุยกันได้ที่ digitalareath@gmail.com
บทความที่คล้ายกัน:
Why am I seeing this ad? คลิกเดียวรู้กลุ่มเป้าหมายโฆษณาบน Facebook อัปเดตข้อมูลปี 2563